ประวัติพระพุทธเจ้า เสด็จออกบรรพชา

คลิกเมาส์ที่ใดก็ได้ในเฟรมนี้เพื่อเรียกเมนูด่วน
ประวัติพระพุทธเจ้า
เสด็จออกบรรพชา
พระองค์ได้เสด็จประพาสรอบพระนคร ๔ วาระด้วยกัน ได้ทรงเห็นเทวทูตทั้งสี่ คือ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และนักบวช ทำให้สังเวชสลดพระทัยและเบื่อหน่ายในสังสารทุกข์ ทรงเห็นว่าการออกบรรพชาเป็นทางดีที่สุด ที่อาจทำให้พ้นจากการเกิด แก่ เจ็บ ตาย
การที่ได้เห็นนักบวชก็เป็นเครื่องเตือนใจว่า การบวชจะช่วยให้มีเวลาว่างเป็นของตัว จะได้คิดค้นอะไรได้มาก เพราะฉะนั้นการเห็นเทวทูตสี่จึงเป็นเครื่องเตือนใจ
วันหนึ่งเสด็จออกจากปราสาทไปพักในสวน พอดีพระนางพิมพ์พาประสูติพระโอรส อำมาตย์ก็ไปกราบทูลให้พระองค์ทรงทราบว่า บัดนี้พระนางพิมพาได้ประสูติพระโอรสแล้ว เพราะองค์ก็อุทาน "ราหุลํ ชาตํ" แปลว่า "บ่วงเกิดแล้ว"
อำมาตย์ผู้นั้นได้ยินก็นึกว่า เจ้าชายสิทธัตถะตั้งชื่อลูกชายว่า "ราหุล" เลยกลับไปทูลพระเจ้าสุทโธทนะว่า มกุฎราชกุมารพอพระทัยในการที่มีลูก ตั้งชื่อให้แล้วว่า "ราหุล"
ในความจริงนั้นไม่ใช่ พระองค์บ่นออกมาด้วยความรู้สึกในใจว่าบ่วงเกิดแล้ว "ราหุล" แปลว่า "บ่วง" มนุษย์เรานี่มีบ่วงอยู่ ๓ บ่วง
มีบุตร เรียกว่า บ่วงพันคอ
มีภรรยา เรียกว่า บ่วงผูกมือ
มีทรัพย์ เรียกกว่า บ่วงผูกเท้า
ถ้าตัด ๓ บ่วงนี้ได้ก็พ้นทุกข์ แต่ถ้ายังมี ๓ บ่วงนี้อยู่ ก็ยังจะต้องวุ่นวายทั้งหญิงและชายเหมือนกัน ถ้าเป็นบ่วงผูกมือของหญิง ก็คือ "สามี" ถ้าเป็นบ่วงผูกมือของชาย ก็คือ "ภรรยา" บ่วงทั้ง ๓ ในที่นี้ขยายความออกให้ชัดได้ว่า ถ้าคนมีบุตรมักกลืนอะไรไม่ลงเพราะคิดถึงลูก ถ้ามีโอกาสได้กินผลไม้อร่อย ต้องรีบเอาไปฝากลูก เท่ากับมีบ่วงพันอยู่ที่คอ คอยรัดคอให้แคบตลอดเวลา ส่วนภรรยาก็จูงมือไป (ผูกมือ) ทรัพย์ก็ผูกเท้าไว้ไม่ให้ไปไหนได้ ทำให้เป็นห่วงบ้าน ห่วงนั่น ห่วงนี่ พระองค์จึงถือว่าบ่วงเกิดแล้ว คือเกิดจากบุตรที่เกิดขึ้นแล้วนั่นเอง
ก่อนที่พระองค์จะตัดสินใจแน่วแน่เพื่อออกบวช พระองค์เสด็จเข้าไปในห้องพระนางพิมพา ได้เห็นนางกอดลูกน้อยราหุลอยู่ นึกในใจว่า ควรบอกสักหน่อยดีหรือว่าอุ้มลูกชายสักหน่อย แล้วจึงค่อยไปดี อีกใจหนึ่งบอกว่า อย่านะ ขืนปลุกก็ไม่ได้ไปเด็ดขาด นางจะกอดแข้งกอดขาไว้จะไปได้อย่างไร ก็เลยไม่ปลุกไปยืนดูใกล้ๆ ดูด้วยความรัก
พระองค์ไม่ใช่คนใจหิน ย่อมมีอาลัยอาวรณ์เป็นธรรมดา ดูแล้วถอยออกมาแล้วกลับเข้าไปใหม่ ทำท่าจะจับจะปลุกให้ลุกขึ้น แต่ใจหนึ่งก็ว่าไม่ได้ๆ อย่ายุ่ง ให้เขานอนให้สบายแล้วก็เลยถอยหลังมาที่ประตู รีบปิดประตูแล้วผลุนผลันออกไปเลย
ในที่สุดพระองค์ตัดสินพระทัยทิ้งลูกน้อยที่เพิ่งประสูติ ออกบวชเมื่อพระชนม์พรรษา ๒๙ ปี เสด็จหนีออกจากพระราชวังในเวลากลางคืน ประทับบนหลังม้ากัณฐกะ มีนายฉันนะ อำมาตย์ผู้ใกล้ชิดตามเสด็จด้วย สำหรับม้ากัณฐกะและนายฉันนะนี้ นับว่าอยู่ในสหชาติทั้งเจ็ดของพระพุทธเจ้าด้วย สหชาติทั้งเจ็ด คือสิ่งที่เกิดวันเดียวกับพระพุทธเจ้า มี
๑. พระพุทธองค์
๒. พระนางพิมพายโสธรา
๓. พระอานนท์
๔. นายฉันนะ
๕. อำมาตย์กาฬุทายี *
๖. ต้นศรีมหาโพธิ์ที่พุทธคยา
๗. ม้ากัณฐกะ **
อำมาตย์ผู้ใหญ่ท่านนี้ หลังจากพระพุทธองค์ตรัสรู้แล้ว และเที่ยวจาริกไปตามชนบทน้อยใหญ่เพื่อโปรดเวไนยสัตว์ พระเจ้าสุทโธทนะได้จัดส่ง เป็นทูตคนสุดท้าย มาทูลเชิญเสด็จกลับกรุงกบิลพัสดุ์ อำมาตย์คนก่อนๆ ที่ถูกส่งมา กลับใจออกบวชกันหมด เมื่อได้ฟังธรรมของพระพุทธองค์แล้ว ไม่ยอมกลับไปทูลรายงานให้พระเจ้าสุทโธทนะทรงทราบ กาฬุทายีก็เปลี่ยนใจ ออกบวชเช่นเดียวกันและได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ ได้ทูลเชิญ พระพุทธองค์เสด็จเยี่ยมกรุงกบิลพัสดุ์ได้สำเร็จ
** บางคนถามว่า ทำไมม้ามีอายุอยู่ได้ถึง ๒๙ ปีเชียวหรือ ความจริงม้าแก่อายุถึง ๔๕ ปีหรือมากกว่านี้ก็เคยมี
เสด็จออกบรรพชา (ต่อ)
พระพุทธองค์เสด็จจากแคว้นศากยะวงศ์ ผ่านดินแดนกษัตริย์โกลิยะ จนมาถึงฝั่งแม่น้ำแห่งหนึ่ง
เมื่อเสด็จมาถึงแม่น้ำดังกล่าว ก็เป็นเวลาสว่าง พระองค์ก็ตรัสถามนายฉันนะว่า แม่น้ำนี้ชื่ออะไร นายฉันนะบอกว่า "แม่น้ำอโนมานที" (ซึ่งแปลว่า หาที่เปรียบมิได้) พระองค์จึงตรัสต่อว่า การกระทำของพระองค์วันนี้ก็ไม่มีที่เปรียบเหมือนกัน เหมือนกับชื่อแม่น้ำนี้
นายฉันนะยังไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่าพระองค์จะทำอะไรในวันนี้ พระองค์จึงตรัสว่า จะทรงผนวช นายฉันนะทูทัดทานว่า ประชาชนยังจงรักภักดีอยู่ พระนางพิมพาก็เพิ่งประสูติ พระเจ้าสุทโธทนะก็แก่ชราแล้วพระองค์จะทิ้งไปได้อย่างไร แต่เจ้าชายสิทธัตถะตัดสินพระทัยแน่วแน่แล้ว จึงสั่งนายฉันนะให้นำเครื่องประดับและม้ากลับวัง นายฉันนะจึงจำใจกลับไปจากนั้นพระองค์จึงเสด็จข้ามแม่น้ำไปอีกฟากหนึ่งซึ่งเป็นดินแดนแคว้นมัลละกษัตริย์ แล้วตัดพระเมาลี(ผมมวย) ด้วยพระขรรค์ (มีด) อธิษฐานสู่เพศบรรพชิต สถานที่นี้เรียกว่าอนุปิยอัมพวัน พระองค์ตั้งพระทัยเด็ดเดี่ยวว่า จะพยายามค้นหาแต่สิ่งที่ประเสริฐเป็นหนึ่งในโลก ประทับอยู่อนุปิยอัมพวันนี้ ๗ วัน แล้วจึงเสด็จดำเนินต่อไป
ขณะที่ประทับอยู่ที่นั่น ตื่นเช้าวันแรกได้ไปบิณฑบาตขออาหารตามบ้านแถวนั้น ซึ่งเป็นป่า อาหารที่ได้มาก็เป็นอาหารแบบชาวบ้านป่า เมื่อเจ้าชายได้อาหารมาแล้ว ก็ต้องนั่งพิจารณาเสียนานกว่าจะกลืนลงไปได้ เพราะว่าเคยเสวยอาหารดี น้ำสะอาด ที่นอนสบาย อะไรๆ ดีทั้งนั้น แล้วก็เสียสละสิ่งเหล่านั้นทั้งหมด มานอนบนดินกินบนทราย
หลังจากที่ประทับอยู่ ณ อนุปิยอัมพวันนี้ครบ ๗ วันแล้ว จึงเดินทางลงมาทางใต้ จนเข้าเขตแคว้นมคธของพระเจ้าพิมพิสาร เวลาเช้าก็เข้าไปบิณฑบาตอยู่ในเมืองราชคฤห์ ประชาชนแตกตื่นกันเพราะเห็นนักบวชผู้นี้เป็นหนุ่มน้อยรูปงาม แต่งกายเรียบร้อย ท่าทางสงบ น่าดู ผิดกว่าคนอื่น คนก็พากันเดินตามล้อมหน้าล้อมหลังตื่นเต้นกันไปทั้งเมือง ตำรวจเห็นแปลกก็สะกดรอยตาม เมื่อพระองค์ได้รับอาหารก็ออกจากเมือง ไปนั่งฉันอาหารอยู่ที่ริมห้วย
ความทราบถึงพระเจ้าพิมพิสาร จึงเสด็จมาเฝ้าที่มัณฑวะบรรพต และชักชวนให้ลาสิกขา เพราะไม่เป็นการเหมาะที่กษัตริย์จะออกภิกขาจารและ บำเพ็ญพรตด้วยความทุกข์ทรมานอย่างนี้ และสัญญาว่าจะแบ่งราชสมบัติให้ปกครอง พระพุทธองค์ไม่ยินยอม พระเจ้าพิมพิสารจึงทูลว่า
"ถ้าได้บรรลุพระสัพพัญญุตญาณเมื่อใดแล้ว ขอได้เสด็จมาสู่พระนครแว่นแคว้นของข้าพเจ้าก่อนให้ได้"
แล้วพระพุทธองค์ก็เสด็จต่อไปยังเมืองพาราณสี เข้าศึกษาในสำนักอาฬารดาบส กาลามโคตร ซึ่งมีชื่อเสียงที่สุดอยู่ในขณะนั้น
สำนักอาฬารดาบส กาลามโคตร เป็นสำนักที่มีผู้มีความรู้สูงในทางจิต ทางฌาน ทางภาวนา เมื่อพระองค์เรียนจบความรู้ของอาจารย์จนอาจารย์ยกย่องว่า พระองค์ทรงเก่งกว่าใครๆ ทรงเรียนจบได้ถึงขั้นอากิญจัญญายตนะณานสมาบัติ เห็นว่าไม่ใช่ทางตรัสรู้ จึงเสด็จต่อไปยังสำนักของท่านอุทกดาบสรามบุตร (ซึ่งเป็นสำนักที่ให้ความรู้สูงกว่าอาฬารดาบส) ได้สำเร็จสมาบัติ ๘ เนวสัญญานาสัญญายตนะขั้นสูงสุดของสำนัก ซึ่งก็ไม่ทรงเห็นว่าจะเป็นทางตรัสรู้อีกนั่นแหละ (เพราะขณะเข้าฌานอยู่นั้นไม่มีทุกข์ก็จริง แต่เมื่ออกจากฌานแล้วจิตใจก็เหมือนคนธรรมดา) จึงเสด็จจาริกต่อไปอีกหลายแคว้นหลายตำบลในรัฐมคธขณะนั้น
จนในที่สุดเสด็จมาถึงตำบลอุรุเวลาเสนานิคม ริมแม่น้ำเนรัญชรา ติดกับพุทธคยาในปัจจุบันนี้ ได้พักแรมอยู่ที่นี่ เพราะทรงเห็นว่ามีป่าร่มเย็นสบาย แม่น้ำก็ไหลใสเย็นจืดสนิท มีทางเดินลงแม่น้ำราบเรียบ น่าเพลินใจ และมีหมู่บ้านสำหรับการออกในการบิณฑบาต สมควรจะหยุดทำความเพียรที่นี่ต่อไป จึงเสด็จไปประทับที่เชิงภูผาเขาดงคสิริ (มีชื่อต่อมาว่าคยาสีสะ) ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหลังระหว่างลุมพินีคลิกเมาส์ที่ใดก็ได้ในเฟรมนี้เพื่อเรียกเมนูด่วน
ประวัติพระพุทธเจ้า
บำเพ็ญทุกกรกิริยา
พระพุทธองค์ทรงค้นคว้าหาทางตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณด้วยวิธีการต่างๆ โดยบำเพ็ญเพียรทาง ทุกรกิริยา ทรมานกายให้ลำบากอย่างยิ่ง เริ่มแต่ทรงขบฟันด้วยฟัน อัดเพดานปากด้วยลิ้น ผ่อนลมหายใจเข้าออกให้เหลือน้อยๆ แล้วกลั้นลมหายใจนานๆ จนตัวร้อนเป็นไฟเหงื่อไหลย้อย หัวใจสวิงสวาย ทรงเสวยพระกระยาหารแต่น้อยจนถึงไม่เสวยเลย ในที่สุดพระวรกายก็ซูบผอมได้รับความลำบากอย่างยิ่ง จวนเจียนพระชนม์จะแตกสลาย นับว่าเป็นความเพียรอย่างยิ่ง ยากที่นักพรตใดๆ จะทำได้ แต่ก็หาสำเร็จพระสัมมาสัมโพธิญาณไม่ เพราะทุกกรกิริยาไม่ใช่ทางแห่งการตรัสรู้
จึงมาทรงดำริเห็นว่า อันความเพียรนั้น ถ้าย่อหย่อนก็เสียผลทีหลัง ถ้าตึงเครียดนักก็มักพลาด ต่อเมื่อเดินทางสายกลางพอดีๆ ทั้งกายและใจจึงจะเกิดผล ดุจพิณสามสาย ถ้าหย่อนนักมักไม่ดัง ถ้าตึงนักก็ขาด แต่พอดีๆ จึงจะมีเสียงนิ่มนวลพอฟังได้ (ตำราประวัติพระพุทธเจ้าบางเล่มก็กล่าวว่า ช่วงที่พระองค์กำลังทรมานพระวรกายอยู่จนถึงที่สุดนั้น มีเทวดาเสด็จลงมาทรงพิณสามสาย ซึ่งได้ตั้งสายพิณไว้ 3 ระดับ คือตึงเกินไป เล่นได้สักครู่สายพิณก็ขาด ตั้งสายพิณหย่อนเกินไป เสียงเพลงก็ไม่ไพเราะ และสุดท้ายตั้งสายพิณปานกลาง ปรากฏว่ามีความไพเราะจับใจ)
พระองค์ทรงเห็นแล้วขณะนี้ว่า ได้เคยเสวยสุขในทางกามคุณมาก็มากปฏิบัติทางทุกกรกิริยาก็มาเต็มที่แล้ว ทั้งสองนี้ จะไม่ทำให้ผู้ปฏิบัติบรรลุจุดหมายปลายทางได้เลย ทางที่ถูกต้องเป็นทางสายกลาง (หรือที่รู้จักกันในการเรียกว่า มัชฌิมาปฏิปทา) ตั้งมั่นลงในศีล สมาธิ ปัญญา รู้แจ้งในอริยสัจจธรรม เกิดความเบื่อหน่ายคลายกำหนัด จึงจะเข้าถึงญาณแห่งความหลุดพ้น (วิมุตติอริยมัคคญาณ)ได้ในที่สุด พระองค์จึงเปลี่ยนความตั้งใจเดิม เลิกทุกรกิริยาทรมานตนเอง กลับใจเสวยพระกระยาหารเพื่อบำรุงพระวรกายอย่างแต่ก่อน
ปัญจวัคคีย์ทั้งห้าเสียใจ พากันหลีกไป ทรงตรัสเล่าภายหลังว่า "ครั้นตถาคตกลืนกินอาหารหยาบ คือ ข้าวสุกและขนมสดแล้วปัญจวัคคีย์ทั้งห้ารูป พากันหน่าย ในเรา พากันหลีกไปด้วยคิดว่า พระสมณโคดมเป็นคนมักมาก คลายความเพียรเสียแล้ว"
พระองค์ทรงปริวิตกว่า อะไรหนอคือหนทางที่จะทำให้หลุดพ้นออกจากความทุกข์ อันมี ชาติ ชรา มรณะ โสกะปริเทวะ (โสกะ แปลว่า ความโศก ปริเทวะ แปลว่า ความคร่ำครวญ ความรำพัน) เป็นต้น เสียได้ ทรงพิจารณาสืบสาวไปหาเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดทุกข์ ได้พบว่า เพราะชาตินี่เองมีอยู่ ความแก่ ความตาย เป็นต้น จึงได้มีตามมา คือถ้าคนไม่เกิดเสียอย่างเดียว ความทุกข์ทั้งหลายก็ไม่มี ทรงค้นหาสาเหตุเรื่อยไปๆ จนพบลูกโซ่คือ เหตุปัจจัยต่างๆ กันว่า เพราะชาติมีอยู่ ชรา มรณะ เป็นต้น จึงได้มีเพราะภพมีอยู่ จึงทำให้มีชาติและต่อๆ ไป คือ อุปาทาน (ความยึดมั่น)-ตัณหา-เวทนา-ผัสสะ..ฯลฯ จนถึงอวิชชา* เป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร**
ทรงพิจารณากลับอีกทีหนึ่ง ก็เห็นว่าเมื่ออวิชชายังมีอยู่ สังขารจึงมี เมื่อสังขารมีอยู่ วิญญาณจึงมี และ…ฯลฯ จนถึง ชาติ ชรา มรณะ คือ ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งปวงเหล่านี้ ย่อมมีขึ้นอย่างนี้เอง ทรงกล่าวว่า "ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง (หมายถึงทรงรู้จริงเห็นแจ้ง) ได้บังเกิดขึ้นแก่เรา ในธรรมที่ไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า ทั้งหมดเป็นฝ่ายข้างเกิด คือทำให้ ชาติ ชรา มรณะ เกิดขึ้น" แล้วตรัสถึงฝ่ายข้างดับต่อไปเป็นลำดับ สรุปลงในที่สุดว่า "จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ได้บังเกิดแก่เราในธรรมที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อนว่า นี้เป็นฝ่ายข้างดับ คือ การเกิดขึ้น จะไม่มีอีกแล้ว ดังนี้"
พุทธภาษิตนี้แสดงว่า ที่พระองค์ได้ตรัสรู้อภิสัมโพธิญาณในเวลาต่อมา ก็เพราะพิจารณาจนเห็นแจ้งแทงตลอดทั้งฝ่ายทำให้เกิด และฝ่ายทำให้ดับนี้เอง ได้ทรงค้นคว้าเหตุปัจจัยของความทุกข์ ครั้นเมื่อพบเหตุปัจจัยนั้นเข้าด้วยอำนาจแห่งพระปัญญาความตรัสรู้จึงเกิดขึ้น
* อวิชชา คือความไม่รู้ในอริยสัจ ๔ คือ
ทุกข์ - คือ ความลำบาก ความไม่สบายกาย ความไม่สบายใจ
สมุทัย - เหตุที่ทำให้เกิดทุกข์
นิโรธ - วิธีการดับทุกข์
มรรค - หนทางสู่การดับทุกข์
** สังขาร หมายถึง กายสังขาร สภาพที่ปรุงแต่งการกระทำทางกาย วจีสังขาร สภาพที่ปรุงแต่งการกระทำทางวาจา มโนสังขาร สภาพที่ปรุงแต่งการกระทำทางใจ
พระองค์จึงตัดสินใจจะเสด็จลงจากเชิงเขาดงคสิริ มายังหมู่บ้านนางสุชาดา คืนนั้นทรงฝันสำคัญ เรียกว่า มหาสุบิน ๕ ประการ คือ
๑. ฝันว่า ทรงบรรทมเหนือโลก มีเขาหิมพานต์ (ภูเขาหิมาลัย) เป็นหมอนหนุน
๒. ฝันว่า หญ้าแพรกเส้นหนึ่งงอกจากพระนาภี (สะดือ) ยาวขึ้นไปจดท้องฟ้า
๓. ฝันว่า หนอนหัวดำตัวขาวไต่ขึ้นมา แต่ปลายพระบาทจนถึงพระชาณุ (เข่า)
๔. ฝันว่ามีนาค ๔ จำพวก สีเหลือง สีเขียว สีแดง สีดำ เลื้อยเข้ามาฟุบลงแทบพระบาท แล้วกลายเป็นสีขาวไปทั้งหมด
๕. ฝันว่า พระองค์เสด็จขึ้นไปจงกรมอยู่บนยอดเขา อันเต็มไปด้วยมูตคูถ แต่ของสกปรกเหล่านี้ จะได้ติดต้องพระบาท แม้แต่นิดเดียว ก็หามิได้
คำทำนายของพระสุบินนิมิตนี้มีว่า
๑. บรรทมเหนือพื้นภูมิภาค นั้นเป็นบุพนิมิตจะได้ตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณแน่นอน
๒. หญ้าแพรกงอกขึ้นจากพระนาภีสูงไปจดอากาศนั้น เป็นบุพนิมิตที่จะได้ตรัสเทศนาพระอริยมรรค มีองค์ ๘ แก่มนุษย์และเทพดาทั้งปวง
๓. หนอนไต่ขึ้นมานั้น คือคฤหัสถ์ทั้งหลายจะเข้ามาสู่สำนักของพระองค์ และจะเข้าถึงพระไตรสรณคมน์
๔. สกุณชาติทั้งหลายสี่สีบินมาจากทิศต่างๆ ถึงพระบาทแล้วกลับกลายเป็นสีขาวไปสิ้น หมายถึง สกุลทั้ง ๔ มี ขัตติยะสกุล เป็นต้น จะออกจากฆราวาสมาบรรพชา และตรัสรู้ซึ่งวิมุตติธรรมอัน ประเสริฐ
๕. เสด็จขึ้นไปจงกรมบนยอดเขาที่เต็มไปด้วยมูตคูถ เป็นต้น แสดงว่าจะได้จตุปัจจัย ๔ มากมาย แต่มิได้ทรงห่วงกังวลกับของเหล่านี้เลย
เช้าวันรุ่งขึ้น พระองค์เสร็จมายังใต้ร่มไทรต้นหนึ่งในหมู่บ้าน เผอิญไทรต้นนี้ นางสุชาดา ลูกสาวคหบดีผู้มั่งคั่งในละแวกนั้น ได้เคยมาบนบานศาลกล่าวไว้ว่า ขอให้ได้ลูกชาย (ลูกชายคนนี้คือพระยสะ ซึ่งภายหลังย้ายไปอยู่เมืองพาราณสี เกิดเบื่อหน่ายทางกามคุณ ได้พบและฟังธรรมพระพุทธเจ้าจนได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์) เมื่อได้บุตรชายสมปรารถนาแล้ว ก็ตั้งใจจะมาแก้บนกันเสียที เพราะทิ้งเอาไว้นานหลายปีแล้ว
นางได้จัดทำข้าวปายาส หุงต้นด้วยน้ำนมโคสดอย่างดีไว้และให้สาวใช้ล่วงหน้ามาปัดกวาด ทำความสะอาดสถานที่เตรียมการบูชารุกขเทวดาที่ต้นไทร สาวใช้ได้มาเห็นพระพุทธองค์ประทับผินพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก มีรัศมีดังสีทองแผ่สร้านออกไปทั่วปริมณฑล ก็คิดในใจว่า เป็นเทวดาที่สิงสถิตอยู่ที่ต้นไทรนี้มาปรากฏกายให้เห็น เพื่อคอยรับเครื่องพลีกรรม นางดีใจรีบวิ่งกลับไปรายงานให้นายสาวทราบ นางสุชาดาปลื้มใจมาก จึงจัดข้าวปายาสใส่ถาดทองคำมายังต้นไทร
พอได้มาเห็นพระพุทธองค์สมจริงดังคำบอกเล่าของสาวใช้ก็ยิ่งเกิดความปิติยินดีมากขึ้น คิดว่าเป็นรุกขเทวดาแน่แล้ว จึงเข้าไปกราบถวายข้าวปายาส พร้อมทั้งถาดทองราคาแสนกหาปณะ โดยมิได้มีความเสียดายแม้แต่น้อย พระพุทธองค์รับข้าวปายาสจากนางสุชาดาแล้ว ทรงเดินปทักษิณาวรรตต้นไทรสามรอบและตรงไปยังท่าสุปปติฏฐิตะ สรงน้ำชำระกาย แล้วเสด็จกลับมาที่ต้นไทร ปั้นข้าวปายาสเป็นก้อนใหญ่พอประมาณได้ ๔๙ ก้อน แล้วเสวยจนหมด พระกระยาหารมื้อนี้มีความสำคัญมาก เพราะเป็นอาหารที่ทำให้พระองค์อิ่มอยู่ได้ถึง ๔๙ วัน โดยมิต้องกังวลต่อความหิวใดๆ ทั้งสิ้น
เมื่อเสวยแล้ว ทรงนำถาดทองไปลอยน้ำ อธิษฐานเสี่ยงพระบารมีว่า หากจะได้ตรัสรู้อนุตตรธรรมแล้วไซร้ ก็ขอให้ถาดลอยทวนกระแสน้ำขึ้นไป ถ้าจะไม่ได้ตรัสรู้ ก็ขอให้ถาดลอยตามน้ำไปเถิด ปรากฏว่าถาดได้ลอยทวนน้ำขึ้นไปด้วยแรงอธิษฐานแล้วจมลงสู่นาคพิภพ รวมกับถาดสามใบของอดีตพระพุทธเจ้า คือ พระกกุสันโธ พระโคนาคม และพระกัสสป เมื่อลอยถาดทองแล้ว เวลาใกล้เที่ยง จึงเสด็จกลับมาพักที่ดงต้นสาละเพื่อหลบแดดตอนเที่ยง จวบจนบ่ายตะวันคล้อยจึงเสด็จข้ามแม่น้ำเนรัญชรามายังอีกฝากหนึ่งคือตรงมายังต้นศรีมหาโพธิ์ น้ำในแม่น้ำขณะนั้นคงจะไม่ลึกนัก และแห้งเป็นบางแห่งเพราะหน้าร้อน
พระอริยมรรคมีองค์ ๘ ได้แก่ ความเห็นชอบ, ดำริชอบ, เจรจาชอบ, ประกอบการงานชอบ, เลี้ยงชีพชอบ, เพียรระวังไม่ให้บาป เกิดขึ้นในสันดาน, ระลึกชอบ, ตั้งจิตไว้ชอบ ดูคำอธิบานต่อที่ หัวข้อปฐมเทศนา
ข้าวปายาส ข้าวที่กวนกับน้ำนมสด กวนจนเหลวเข้ากันดี
กหาปณะ ประมาณกันว่าค่าเงิน 1 กหาปณะในสมัยพุทธกาล เมื่อเทียบเป็นค่าเงินในปัจจุบันแล้ว มีค่ามากกว่า ดอลล่าร์สหรัฐ หลายเท่า ดังนั้นถาดทองราคาแสนกหาปณะก็ตกเป็นเงินไทยในปัจจุบันราวหลายล้านบาททีเดียว
อดีตพระพุทธเจ้า ว่ากันตามพระไตรปิฎก ในกัปป์ที่เราอยู่ปัจจุบันนี้จะมี พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ทั้งหมด 5 พระองค์ คือ พระกกุสันโธ พระโคนาคม พระกัสสป พระสัมมาสัมพุทธเจ้า(องค์ที่เรานับถือกันในปัจจุบัน) และพระศรีอริยเมตรัย (ซึ่งยังไม่เกิด) ระยะเวลาที่เรียกว่า กัปป์หนึ่งนั้น กล่าวกันว่า อุปมาหินสี่เหลี่ยมลูกเต๋าขนาด 1 โยชน์ หรือประมาณขนาดกว้าง 16 กิโลเมตร ยาว 16 กิโลเมตร และสูง 16 กิโลเมตร ทุกๆ 100 ปีมีเทวดาเอาผ้าบางๆ มาลูปบนแท่นหินนี้ครั้งหนึ่ง ทำอย่างนี้จนกระทั้งหินก้อนขนาดที่ว่า จะราบติดกับพื้นดิน ซึ่งนับเป็นตัวเลขล้านล้านปี จนไม่มีหน่วยวัดในทางปัจจุบันกับพุทธคยา
ต่อมาพระปัญจวัคคีย์ (คือโกญฑัญญะ ภัททิยะ วัปปะ มหานาม และอัสสชิ) เมื่อรู้ข่าวว่า เจ้าชายสิทธัตถะออกบวชจึงได้มาขออยู่อุปัฏฐากพระองค์ โดยหวังว่าเมื่อทรงบรรลุจุดหมายแล้วจะได้สั่งสอนพวกเขาต่อไป

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ประวัติพระพุทธเจ้า

  ประวัติพระพุทธเจ้า เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม ขอขอบคุณภาพประกอบจาก  learntripitaka.com              "ศาสนาพุทธ"  เป็...